วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประวัติผู้แต่งมงคลสูตรคำฉันท์

ประวัติผู้แต่ง

   พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าองค์ที่ 2 ในจำนวน 9 พระองค์ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง พระราชสมภพเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 ณ พระที่นั่งในพระบรมมหาราชวังชั้นใน เสวยราชสมบัติเมื่อวันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม   ปีจอ พุทธศักราช 2453 และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 รวมพระชนมพรรษา 46 พรรษา
 
 พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์งานประพันธ์หลายประเภท เช่น บทละคร บทความ สารคดี นิทาน นิยาย เป็นต้น บทพระราชนิพนธ์หลายเรื่องยังได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็นยอดของวรรณคดีหรือเป็นหนังสือที่แต่งดี อาทิ หัวใจนักรบ เป็นยอดบทละครพูดร้อยแก้ว มัทนะพาธาเป็นยอดของบทละครพูดคำฉันท์  พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า "สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า" ซึ่งหมายถึงนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ และใน พ.ศ. 2515 พระองค์ได้รับการยกย่องจากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ให้ทรงเป็น 1ใน5 นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ของไทย

คำศัพท์ที่น่าสนใจ




๑.จิรังกาล                เวลาช้านาน
๒. จำนง                  ประสงค์ มุ่งหวัง ตั้งใจ
๓. ฉนำ                    ปี
๔. ทุษะ                   โทษ หมายถึงความไม่ดี ความชั่ว
๕.  ยายี                   เบียดเบียน รบกวน   
๖. ขุททกนิกาย        ชื่อนิกายหนึ่งใน ๕ นิกายของพระสุตตันตปิฎก
๗. ขุททกปาฐะ       บทสวดหรือบทสวดสั้นๆ
๘.ดำกล                  ตั้งไว้ ตั้งอยู่
๙.พระสูตร              พระธรรมเทศนาหรือธรรมกถาเรื่องหนึ่งๆ
๑๐.มนุญ                  เป็นที่พอใจ

ข้อคิดที่ได้รับ



มงคลสูตรนี้สามารถนำไปสู่ความเจริญและเนื่องให้เกิดสิริมงคลแก่ชีวิต
ทำให้สังคมโดยรวมสงบสุขและเจริญก้าวหน้าตามไปด้วย



เรื่องย่อมงคลสูตรคำฉันท์

 เริ่มต้นกล่าวถึงมนุษย์และเทวดาได้พยายามค้นหาคำตอบว่า อะไรคือมงคล เป็นเวลานานถึง ๑๒ ปี พระอานนท์ได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ ณ เชตวันมหาวิหารซึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้สร้างถวายไว้ ณ เมืองสาวัตถี มีเทวดาองค์หนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในเวลาปฐมยามแล้วได้ทูลถามเรื่องมงคล พระพุทธองค์จึงตรัสตอบถึงสิ่งที่ไม่เป็นมงคล ๓๘ ประการ หลังจากรับฟังเทศนาจบ เหล่าเทวดาก็บรรลุธรรม
มงคลทั้ง ๓๘ ประการ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นคาถาบาลีเพียง ๑๐ คาถา แต่ละคาถาประกอบด้วย ๓-๕ ข้อ และมีคาถมสรุปตอนท้าย ๑ บท ชี้ให้เห็นเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าปฏิบัติตามมงคลอันสูงสุด ๓๘ ประการนี้ได้ จะไม่พ่ายแพ้แก่ข้าศึกศัตรูและจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองสืบไป


จุดมุ่งหมายในการแต่งมงคลสูตรคำฉันท์

เพื่อให้ตระหนักว่าสิริมงคลจะเกิดแก่ผู้ใดก็เพียงผลมาจากการปฏิบัติของตนทั้งสิ้นไม่มีผู้ใดหรือสิ่งใดจะทำให้เกิดสิริมงคลแก่เราได้  นอกจากตัวเราเองอ่านเพิ่มเติม


ลักษณะการแต่งมงคลสูตรคำฉันท์

ลักษณะการแต่งมงคลสูตรคำฉันท์

 มงคลสูตรคำฉันท์เป็นวรรณคดีที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นโยทรงนำคาถาบาลาที่เป็น “มงคลสูตร” ซึ่งมีอยู่ในพระไตรปิฏกมาแปล แล้วทรงเรียบเรียงแต่งเป็นบทประพันธ์ร้อยกรองที่มีสัมผัสคล้องจองท่องจำง่ายและสามารถพรรณนาความได้อย่างไพเราะจับใจโดยทรงใช้คำประพันธ์๒ ประเภทคือกาพย์ฉบัง๑๖ และอินทรวิเชียรฉันท์๑๑ (ดูแบบแผนการประพันธ์และยฉันทลักษณ์ได้ในหน่วยการเรียนรู้ที่๑เรื่องคำนมัสการคุณานุคุณ)โดยลงท้ายคำประพันธ์ทุกบทด้วยข้อความเดียวกันว่า “ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี”ซึ่งมีที่มาจากคาถาภาษาบาลี ที่ว่า เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ


ที่มาของเรื่องมงคลสูตรคำฉันท์

ที่มาของเรื่องมงคลสูตรคำฉันท์


เมื่อ พ.ศ. 2466 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงนำมงคลสูตรมาทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทร้อยกรองประเภทคำฉันท์  โดยใช้คำประพันธ์ 2 ชนิดคือ  กาพย์ฉบัง 16 และอินทร์วิเชียรฉันท์ 11 ทรงนำคาถาภาษาบาลีจากพรไตรปิฎกตั้งแล้วแปลถอดความเป็นร้อยกรองภาษาไทย  ได้ถูกต้องตรงตามบังคับในฉันทลักษณ์โดยไม่เสียเนื้อความจากพระคาถาบาลี  การจัดวางลำดับของมงคลแต่ละข้อก็เป็นไปตามที่ปรากฏอยู่ในพระคาถาเดิม  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพทางด้านภาษาได้อย่างดียิ่ง